อุณหภูมิความร้อนพื้นผิวมหาสมุทรของโลก เพิ่มขึ้นอีก! ทําให้เกิดสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรงมากขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และแน่นอนว่า การดูดซับก๊าซเรือนกระจก ก็จะมีประสิทธิภาพลดน้อยลง
มหาสมุทรทั่วโลกของเราครอบคลุมมากกว่า 70% ของพื้นผิวโลกและมีความจุความร้อนสูงมาก ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มหาสมุทรทำหน้าที่ดูดซับภาวะโลกร้อนได้ถึง 90% เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก และความร้อนไม่กี่เมตรที่ด้านบนของมหาสมุทร ก็กักเก็บความร้อนไว้มากพอๆ กับชั้นบรรยากาศทั้งหมดของโลก
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ พื้นมหาสมุทรของโลก อุณหภูมิความร้อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์กังวลว่าสถานการณ์นี้ จะทําให้ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น การที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในเดือนนี้ น่าวิตกมาก เพราะมันไม่เคยร้อนขึ้นเร็วขนาดนี้มาก่อนวิทยาศาสตร์เองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมจึงเกิดขึ้น แต่มีความกังวลว่าเมื่อรวมกับสถานการณ์สภาพอากาศอื่น ๆ ภายในสิ้นปีหน้า อุณหภูมิของโลกอาจไต่ระดับขึ้นสูง และทำสถิติใหม่ภายในสิ้นปีหน้า
#มหาสมุทรร้อนสะสม
ผลการศึกษาข้อมูลจากหลายพื้นที่ ชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาที่น่าเป็นห่วง ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ความร้อนสะสมของโลกเพิ่มขึ้น 50% ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อุณหภูมิผิวน้ำทะเลนอกชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยในปี 1981-2011 ถึง 13.8 องศาเซลเซียส โดยความร้อนส่วนเกินจะไหลลงสู่มหาสมุทร สิ่งนี้กำลังส่งผลกระทบไปยังวิถีทั่วโลก ไม่เพียงแต่อุณหภูมิโดยรวมของมหาสมุทรจะทำสถิติใหม่ในเดือนเมษายนปีนี้ 2023 เท่านั้น ในบางภูมิภาค อุณหภูมิยังมีความแตกต่างอย่างน่าเป็นห่วงมากอีกด้วย
ปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลต่อระดับความร้อนที่ไหลลงสู่มหาสมุทรคือ วิธีการลดมลพิษจากการขนส่ง ในปี 2020 องค์การการเดินเรือระหว่างประเทศได้ออกข้อบังคับเพื่อลดปริมาณกำมะถันในเชื้อเพลิงที่ถูกเผาในเรือ ทำให้ฝุ่นละอองที่ได้จากการเผาไหม้ปริมาณลง ซึ่งมีผลกระทบอย่างรวดเร็ว เพราะฝุ่นละอองที่ลอยในชั้นบรรยากาศ มีส่วนทำให้สะท้อนความร้อนกลับสู่ชั้นบรรยากาศ การขจัดฝุ่นละอองเหล่านี้ทำให้คลื่นความร้อนพุ่งเข้าสู่ผิวน้ำมากขึ้น
อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของมหาสมุทรโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 0.9 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนอุตสาหกรรมและ 0.6 องศาเซลเซียสในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น นี่ยังไม่เท่ากับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นบนบก ตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม อุณหภูมิบนบกเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส นั่นเป็นเพราะว่าความร้อนของน้ำ ต้องใช้พลังงานมากกว่าบนบก
#ผลกระทบของภาวะมหาสมุทรร้อน
และเนื่องจากมหาสมุทรดูดซับความร้อนไว้ใต้พื้นผิวมาก การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิผิวน้ำโดยเฉลี่ยที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่มีผลกระทบที่สำคัญ ต่อวงจรชีวิตทั้งทางบก และในทะเล ทั้งหมด คือ
การสูญพันธุ์: คลื่นความร้อนในทะเลที่ถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น นำไปสู่การตายจำนวนมากของสิ่งมีชีวิตในทะเล สิ่งนี้สร้างความเสียหายอย่างยิ่งต่อแนวปะการัง
สภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น: ความร้อนที่เพิ่มขึ้นในพื้นผิวมหาสมุทรตอนบนจะก่อเป็นพายุเฮอริเคนและพายุไซโคลน ที่มีพลังงานมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าจะก่อตัวรุนแรงขึ้นและยาวนานขึ้น
การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล: น้ำอุ่นไหลเวียนขยายกินพื้นที่มากขึ้น ซึ่ง การขยายตัวของความร้อน จะไปเร่งการละลายของธารน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกา ให้ไหลลงสู่มหาสมุทร ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงของน้ำท่วมชายฝั่ง
ความสามารถในการดูดซับ CO2 น้อยลง: ปัจจุบันมหาสมุทร คิดเป็นพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อน้ำทะเลอุ่นขึ้น จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์CO2 ได้น้อยลง หากมหาสมุทรใดูดซับน้อยลงในอนาคต ปริมาณCO2 ก็จะสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศ ทำให้อากาศและมหาสมุทรร้อนขึ้นไปอีก
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์กังวลคือปรากฏการณ์สภาพอากาศที่เรียกว่าเอลนีโญ El Niño Southern Oscillation แต่ขณะนี้นักวิจัยเชื่อว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่กำลังก่อตัวขึ้นจะมีความรุนแรงมากขึ้น ดร. Josef Ludescher จากสถาบัน Potsdam Institute for Climate Research กล่าวว่า หากเกิดปรากฏการณ์ El Niño ครั้งใหม่ เราอาจจะมีภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นอีก 0.2-0.25 องศาเซลเซียส เอลนีโญมีแนวโน้มที่จะทำลายรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ทำให้ลมมรสุมอ่อนกำลังลง และเกิดไฟป่าลุกลามในออสเตรเลียมากขึ้น ความร้อนเข้าสู่มหาสมุทรมากขึ้น น้ำอาจกักเก็บพลังงานส่วนเกินได้น้อยลงและมีความกังวลว่าความร้อนที่มีอยู่ในมหาสมุทรจะไม่คงที่
ทั้งนี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์ ยังคงหวังว่า เมื่อเอลนีโญถึงจุดสูงสุดอุณหภูมิจะลดลงหลังจากนั้น และหวังว่าจะเกิดเหตุการ์ณตามธรรมชาติ ที่เรียกว่า ลานีญา จะเกิดในช่วงเวลาเหมาะสม เพื่อช่วยรักษาสมดุลของอุณหภูมิของโลกให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
โลกกำลังร้อนขึ้นแบบก้าวกระโดด และแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลดลงเลย แล้วจู่ๆ ก็กระโดดขึ้นเหมือนบันไดขึ้นบันได ดังนั้นนี่คือเหตุผลว่าทำไมปี 2024 จึงน่าจะเป็นชวงเวลาที่โลกร้อน ที่สุดเป็นประวัติการณ์ และน่าวิตกกังวลขั้นสุด
ที่มา
Comments